วันเสาร์, 2 สิงหาคม 2568

ศาสตร์แห่งการโอ้อวด บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อด่าใคร (เพราะพูดตรง ๆ คือเราทุกคนก็เคยอวด)

 

บทความนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อด่าใคร (เพราะพูดตรง ๆ คือเราทุกคนก็เคยอวด)
.
แต่มาเพื่อพาเราสำรวจว่า…
.
ถ้าเราจะอวด — จะอวดยังไงให้โลกฟังแล้วอยากปรบมือ ไม่ใช่กด Mute
.
เพราะความสำเร็จนั้นดี แต่ “จังหวะและน้ำเสียงของการเล่าเรื่องความสำเร็จ” …สำคัญกว่าที่คิดครับ
.
=====================
.
1. ทำไมคนถึงโอ้อวด — และทำไมมันถึงขัดใจ
โอ้อวดเป็นพฤติกรรมดึกดำบรรพ์ของมนุษย์ มันคือสัญญาณว่า “ฉันมีคุณค่า กรุณายอมรับฉันด้วย” แต่ในยุคที่ทุกคนมีไมโครโฟนส่วนตัว (โซเชียลมีเดีย) การโอ้อวดที่ไม่มีกลยุทธ์อาจย้อนศรใส่ตัวเราเองได้
.
.
2. Self-Destruction vs Self-Promotion
งานวิจัยด้านจิตวิทยาการสื่อสารระบุว่า การพูดถึงความสำเร็จของตนเองอาจให้ผลตรงข้าม ถ้าไม่รู้จัก “กรอบการเล่าเรื่อง” เช่น การพูดว่า “ผมทำรายได้ทะลุ 10 ล้านใน 1 ปี” กับ “ผมเคยล้มเหลวจนเหลือเงิน 37 บาท แต่ตอนนี้…ผมสร้างรายได้ทะลุ 10 ล้าน” ให้ผลทางจิตวิทยาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
.
.
3. วิธีอวดแบบเนียน: The Art of Framing
-อวดผ่านบริบท เช่น อวดผ่านคำขอบคุณ (Gratitude Framing)
-อวดผ่านคำถาม เช่น “มีใครเคยเจอปัญหาแบบนี้ตอนมีลูกค้ารายได้เกิน 8 หลักไหมครับ?”
-อวดผ่านบทเรียน เช่น “หลังจากเจ๊งมา 3 ธุรกิจ ผมเพิ่งเข้าใจว่า…”
.
.
4. อวดแบบใช้ประโยชน์จากอคติ
ใช้ Illusory Superiority: คนมักคิดว่าตนเองเก่งกว่าเฉลี่ย การอวดที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า “ฉันก็ทำได้” จะไม่ถูกเกลียด
ใช้ Pratfall Effect: การเผยข้อบกพร่องเล็ก ๆ จะทำให้คนเก่งดูน่าเอ็นดูขึ้น
.
.
5. รากเหง้าการอวด
ตั้งแต่ยุคเผ่าจนถึง Instagram มนุษย์ยุคหินอวดด้วยการล่าสัตว์ใหญ่ มนุษย์ยุคกรุงโรมอวดด้วยปูนปั้นและบทกวี ยุคเรเนสซองซ์อวดด้วยการอุปถัมภ์ศิลปิน ยุคทุนนิยมอวดด้วยรถ นาฬิกา และหน้าที่การงาน
.
.
6. Machiavellian Bragging
ในยุคที่การโอ้อวดเป็นกลยุทธ์เพื่ออำนาจ (power game) คนที่ฉลาดจะไม่พูดตรง ๆ ว่า “ฉันเก่ง” แต่จะทำให้คนอื่นพูดแทน เช่น การให้ทีมพูดถึงผลงานของหัวหน้า การสร้าง community ที่แชร์ผลลัพธ์ให้กันเอง หรือแม้แต่การปล่อยข่าวลือเชิงบวก
.
.
7. ภาษากายที่อวดโดยไม่พูด
Power Pose (Amy Cuddy): การยืนท่าเปิด ไม่กอดอก ไม่ห่อไหล่ ทำให้ดูมั่นใจโดยไม่ต้องพูด
Micro-Expression: แววตาของคนที่มี Self-Esteem จะแตกต่างจากคนที่แค่ฝืนทำ
การใช้พื้นที่: คนที่มั่นใจมักใช้พื้นที่มากขึ้นโดยธรรมชาติ
.
.
8. Bragging in the East vs West
โลกตะวันตกเน้น Self-Promotion โลกตะวันออกเน้น “อ่อนน้อมแต่ชนะใจ” เช่น แนวคิดของซุนวูที่บอกว่า “การรบที่ดีที่สุดคือการที่ไม่ต้องรบ” การอวดในตะวันออกจึงมักอยู่ในรูปของความสงบ เยือกเย็น และให้อำนาจคนอื่นมอบคำชม
.
.
9. The 3C Model of Bragging: Confidence – Context – Contribution
Confidence: กล้าพูดความจริงแบบไม่กลบเกลื่อน
Context: รู้จักเวลาสถานที่ บางที่ต้องอวด บางที่ห้ามเด็ดขาด
Contribution: อวดอย่างมีประโยชน์ เช่น แบ่งปันสิ่งที่คนอื่นเอาไปใช้ต่อได้
.
.
10. อวดแบบ Thought Leader: How to Signal Value Without Showing Off
Show, don’t tell: แทนที่จะพูดว่า “ฉันเก่ง” ให้โพสต์บทความ แสดงผลงาน หรือแชร์ไอเดียที่แก้ปัญหายาก ๆ ได้
Use Third-Party Proof: ให้สื่อ คนอื่น รีวิว หรือผลงานพูดแทน
Teach What You’ve Done: การสอนสิ่งที่เคยทำได้สำเร็จคือการอวดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแบบไม่ต้องอวด
.
.
11. Ego vs Execution
คนที่ต้องอวดตลอดเวลา คือคนที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเก่งจริงหรือไม่ คนที่ไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่มีคนอื่นพูดถึงเขาเสมอ คือคนที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว
และการโอ้อวดที่ดีที่สุดในโลกใบนี้… คือการทำให้คนอื่นอยากอวดว่า “เขารู้จักคุณ”
.
.
=====================================
.
[ 45 ประโยคอวดที่คุณไม่ควรใช้บ่อยเกินไป ]
.
.
ในการสื่อสารทางสังคม การนำเสนอความสำเร็จของตัวเองเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ผู้คนมักพัฒนาเทคนิคการ “อวดแบบไม่ให้ดูเหมือนอวด” อย่างแยบยล เพราะเข้าใจดีว่าการโอ้อวดตรงๆ อาจสร้างความรู้สึกไม่พอใจให้ผู้ฟัง
.
แต่ในความเป็นจริง คนเราล้วนมีเรดาร์ไวต่อการอวดตัวแฝงเหล่านี้ ยิ่งใช้บ่อย ยิ่งทำให้เกิดผลตรงข้าม สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในตัวเองและความต้องการการยอมรับมากเกินไป เลือกใช้อย่างพอเหมาะ ไม่ให้กลายเป็นคนที่แม้ไม่พูดว่าเก่ง แต่ทุกคำพูดกลับพาดพิงถึงความเก่งของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
.
.
1. โยนให้คนอื่นชมก่อน แล้วค่อยอวด
เช่น “ผมเองก็ไม่ได้เก่งหรอกครับ แค่โชคดีที่โปรเจกต์นั้นมันไปได้ดี”
.
.
2. พูดเหมือนไม่อยากพูด
“ไม่อยากเล่าเลย มันดูเหมือนอวดอะครับ… แต่ก็… ได้รับเลือกให้ไปพูดที่ต่างประเทศมาเมื่อเดือนก่อนครับ”
.
.
3. โยนคำชมให้คนอื่น แล้วแอบแทรกผลงานตัวเอง
“ถ้าไม่มีทีมที่ดี ผมคงไม่ได้ยอดขาย 20 ล้านหรอกครับ”
.
.
4. อวดผ่านการเล่า “บทเรียน”
“ตอนที่ผมล้มเหลวจากการทำธุรกิจแรก แล้วมาได้ IPO เอาภายหลัง ผมถึงเข้าใจว่า…”
.
.
5. ให้รูปภาพเล่าแทนคำพูด
โพสต์ภาพมุมทำงานบนเรือเรือยอชต์ พร้อมแคปชั่นว่า “วันนี้ลมแรงดีครับ”
.
.
6. สวมบทคนสอน
“มีคนมาถามเยอะว่า ผมบริหารงานยังไงให้ได้แบบนี้…”
.
.
7. โยนเป็นคำถามแทน
“มีใครเคยเจอปัญหาตอนดีลโปรเจกต์ 8 หลักกับต่างประเทศมั้ยครับ? พอดีผมพึ่งผ่านมากำลังหาทางแชร์ต่ออยู่”
.
.
8. ทำเหมือนไม่รู้ว่าอวด
“ตกใจเลยครับ อยู่ดีๆ Forbes ก็มาเสนอสัมภาษณ์เฉยเลย”
.
.
9. อวดผ่านการยกคำพูดคนอื่น
“มีคนบอกผมว่า… ‘คุณเป็นคนที่ทำให้เรื่องยาก ๆ กลายเป็นเรื่องง่าย’ — ฟังแล้วรู้สึกดีแฮะ”
.
.
10. อวดให้ฟังดูเป็นภาระ
“มีหลายบริษัทติดต่อมาให้เป็นที่ปรึกษา แต่งานเดิมก็ยังล้นมืออยู่เลยครับ”
.
.
11. อวดผ่านคำเตือน
“ระวังนะครับ ถ้าธุรกิจคุณโตเร็วเกินไปแบบที่ผมเคยเจอ ระบบจะตามไม่ทัน…”
.
.
12. เปลี่ยนจาก “อวด” เป็น “แชร์”
“วันนี้อยากมาแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทำรายได้ 9 หลักแรกในชีวิต…”
.
.
13. อวดผ่านโลเคชั่น
“ทำงานจากสนามบินอีกแล้วครับช่วงนี้” (พร้อมภาพ boarding pass โผล่เบาๆใน VIP เลาจน์)
.
.
14. แกล้งเป็นคนมีปัญหา…ที่คนส่วนใหญ่ไม่มี
“ปัญหาคือ ทีมขยายเร็วไปหน่อยครับ ต้องรีครูตเพิ่มอีก 10 คนภายในเดือนนี้”
.
.
15. อวดผ่านคำถามจากคนอื่น
“มีคนถามว่า ผมใช้ระบบอะไรบริหารทีม 40 คนใน 4 ประเทศ เลยอยากมาเล่านิดหน่อย…”
.
.
16. อวดผ่านการย้อนอดีต
“ไม่น่าเชื่อว่า เด็กที่เคยสอบตกคณิตจะกลายเป็นวิศวกร NASA ได้…”
.
.
17. ให้คนอื่นพูดให้
แชร์รีวิวจากลูกค้า แชร์บทสัมภาษณ์ หรือแคปชั่นคำชมจากคนอื่น
.
.
18. อวดแบบ “ปลง”
“ตอนนี้ก็ทำงานวันละ 14 ชั่วโมงเหมือนเดิม… แต่อย่างน้อยยอดขายก็โตขึ้น 300% ล่ะครับ”
.
.
19. แกล้งเล่าขำๆ
“ตอนขึ้นไปพูดบนเวที TEDx มือสั่นจนไมค์เกือบหลุดแน่ะครับ ฮา”
.
.
20. อวดด้วยการ “บ่น”
“เริ่มเหนื่อยกับการต้องตื่นตี 5 เพื่อซ้อมพูด 3 ภาษาในวันเดียวละ”
.
.
21. อวดผ่านความบังเอิญ
“แวะไปร้านกาแฟ เจอเจ้าของแบรนด์ดังที่เราเพิ่งดีลงาน 8 หลักด้วยพอดีเลยครับ”
.
.
22. ทำเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา
“ก็แค่วันธรรมดาอีกวัน ที่มี Zoom คุยกับซีอีโอ 3 ประเทศครับ”
.
.
23. ใช้ภาษาล้อเล่นกลบความยิ่งใหญ่
“บังเอิญทำงานแล้วมันดันกลายเป็น Unicorn เฉยเลยครับ”
.
.
24. แชร์เบื้องหลังความสำเร็จ
“ไม่มีอะไรพิเศษครับ แค่เขียนบทความวันละ 10 ชิ้นมาตลอด 365 วัน”
.
.
25. พูดชิลๆให้รู้ว่า ยังไม่หยุดแค่ตรงนี้
“ยังมีอีกหลายอย่างที่อยากลองดูครับ ปีหน้าวางแผนจะเปิดตลาดยุโรปดูบ้าง”
.
.
26. อวดผ่านการ “ลองผิดลองถูก”
“แรกๆ ผมก็พลาดบ่อยครับ กว่าจะหาโมเดลธุรกิจที่โตแบบ 100x ได้”
.
.
27. บอกเหมือนเป็นแค่ “เหตุการณ์เก่า”
“ไปขุดคลิปตอนสัมภาษณ์กับ BBC มา เจอไอเดียเก่าที่น่าจะนำกลับมาใช้ได้”
.
.
28. แกล้งตอบคำถามจากคนในคอมเมนต์
“มีคนถามว่า ทำยังไงถึงได้ไปพูดที่ UN … เล่าให้ฟังคร่าวๆ นะครับ”
.
.
29. พูดผ่าน “สิ่งที่ไม่ได้อยากพูด”
“ผมไม่ชอบเล่าเรื่องนี้เท่าไหร่ แต่คิดว่ามันอาจเป็นประโยชน์กับคนที่เพิ่งเริ่ม”
.
.
30. อ้างว่า “ดวงดีเฉยๆ”
“ผมเองก็ยังงงว่าทำไมปีนี้แบรนด์เราถึงได้รางวัลระดับโลก 3 รายการติดกัน”
.
.
31. ใช้คำเบา แต่ผลลัพธ์หนัก
“เขียนไปเล่นๆ ดันติด Bestseller เฉยเลยครับ”
.
.
32. แกล้งทำเป็นมือใหม่
“ลองวาดเล่น ๆ ครั้งแรก … อาจไม่สวยเท่าศิลปิน แต่ [ ชื่อศิลปินระดับโลก ] บอกว่าน่าสนใจดีครับ”
.
.
33. อวดผ่านการ “ช่วยเหลือคนอื่น”
“หลังเปิดคอร์สฟรีไป มีคนที่สอบติดทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นอีก 40 คนครับ ดีใจมาก”
.
.
34. ทำเหมือนเล่าเรื่องปกติ
“สัปดาห์ก่อนอยู่เชียงใหม่ อาทิตย์นี้อยู่บาหลี — ชอบชีวิต remote แบบนี้จังครับ”
.
.
35. อวดแบบ “ผิดคาด”
“ผมเคยคิดว่าเราเล็กเกินกว่าจะดีลงานกับแบรนด์ระดับโลกได้… ผิดถนัดเลยครับ”
.
.
36. แชร์ Feedback ที่เหมือนไม่ตั้งใจ
“CEO ที่ฝรั่งเศสบอกว่าเราเป็นทีมที่ proactive ที่สุดที่เคยร่วมงานด้วย”
.
.
37. อวดผ่าน “ความเหนื่อย”
“นอนไปแค่ 3 ชั่วโมงเพื่อเตรียมพรีเซนต์ดีล 9 หลัก …แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดีครับ”
.
.
38. ให้ผลงานพูดแทน
ลงแค่ภาพปกหนังสือ บอกว่า “ส่งต้นฉบับเล่มที่ 3 แล้วครับ :)”
.
.
39. อวดผ่าน “การเชื่อมโยง”
“แนวคิดนี้ ผมได้จากวันที่คุยกับอดีตนายกฯ ตอนร่วมเวทีเศรษฐกิจโลก”
.
.
40. เปลี่ยนคำว่า “สำเร็จ” เป็น “ทดลอง”
“โปรเจกต์นี้ผมทดลองใช้เทคนิค neuro-persuasion ดูครับ… ผลคือ ยอด engagement โต 18 เท่า”
.
.
41. เป็น “คนเบื้องหลัง”
“ดีใจกับน้องในทีมที่ชนะรางวัลระดับประเทศ ผมแค่ช่วยเบื้องหลังเล็กๆ น้อยๆ”
.
.
42. แชร์ข้อความจากคนอื่นที่เครดิตดี
“ขอบคุณ Harvard ที่เชิญไปพูดเรื่องการปฏิรูปการศึกษาในไทยครับ”
.
.
43. ปิดด้วยความสงบ
“ถึงจะทำงานกับองค์กรระดับโลก… แต่สุดท้ายความสงบใจตอนทำอาหารเช้าคือของจริงครับ”
.
.
44. อวดผ่าน “โอกาสที่ปฏิเสธ”
“ทาง Google ติดต่อมาให้ไปร่วมทีม แต่ผมตัดสินใจทำ startup ต่อดีกว่า”
.
.
45. ทิ้งท้ายด้วยความ “จริงใจ”
“ทั้งหมดนี้ ไม่ได้อยากอวด แต่อยากให้รู้ว่า… ถ้าผมทำได้ คุณก็ทำได้เหมือนกันครับ”
.
.
ใน 45 ข้อนี้ บางข้อก็น่าหมั่นไส้เบา ๆ
บางข้อก็น่าหมั่นไส้แบบกลาง ๆ
และบางข้อ… ก็น่าหมั่นไส้ระดับที่คนอ่านต้องพักสายตาแล้วไปต้มกาแฟกินสักแก้วเพื่อระงับใจ
.
แต่เอาเข้าจริง… เราก็เข้าใจแหละครับ
โลกมันไม่ได้เปิดโอกาสให้เราวิ่งขึ้นเวทีแล้วพูดว่า “ดูสิ ฉันภูมิใจในตัวเอง” ได้ทุกวัน
บางทีการอวดเล็ก ๆ คือการบอกโลกว่า “ฉันก็มีดีอยู่นะเว้ย” โดยไม่ต้องพกป้ายไฟเดินไปทั่วออฟฟิศ
.
และสุดท้ายแล้ว บริบททางสังคมก็เป็นเรื่องสำคัญ
.
การอยู่กับสังคมที่มองโลกในแง่ Growth mindset อาจมองว่าคำพูดของคุณเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ที่มีคุณค่า แต่ทางกลับกัน ในสังคมที่ชอบจับผิด การเล่าความสำเร็จแม้เพียงเล็กน้อยอาจถูกตีความว่าเป็นการโอ้อวดได้ทันที
.
ดังนั้น การเลือกสังคมที่คุณอยู่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คุณไม่จำเป็นต้องปรับลดตัวเองเสมอไป บางครั้งการหาที่อยู่ที่คนรอบข้างมีมุทิตาจิต เข้าใจและสนับสนุนการเติบโต อาจเป็นทางออกที่ดีกว่าการต้องคอยระมัดระวังทุกคำพูดจนไม่กล้าแสดงตัวตนที่แท้จริงครับ


counter